SAINT PETER HIGH SCHOOL
ST.Peter High School Online Museum
พิพิธภัณฑ์ออนไลน์โรงเรียนม.ปลายเซนต์ปีเตอร์
ประวัติความเป็นมานี้ เป็นความเป็นมาที่ได้จากการอ่านบันทึกของคนในสมัยนั้นเท่านั้น ไม่สามารถหาความจริงได้ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ โปรดใช้วิจารณญาณด้วยนะ!!
[มันก็คือเรื่องที่แต่งขึ้นมาเนี่ยแหละค่ะ อย่าไปหลงว่ามันคือเรื่องจริงนะคะ]
♱♱♱ประวัติโรงเรียน | HISTORY♱♱♱
ในปี 1990 ต้นตระกูลดันบาร์ ได้รับมรดกตกทอดจากมรดกของสงครามโลก นั่นก็คือ พื้นที่ฝั่งทะเล เมืองเซนต์จอห์น (ในสมัยนั้น) ที่ห่างไกลจากผู้คน ซึ่งพื้นที่ตรงนั้น ตอนแรกมีเพียง คฤหาสน์ปฏิมากรรมอังกฤษหลังเก่าสภาพสมบูรณ์ และ ซากของหมู่บ้านเท่านั้น ซึ่ง ผู้ได้รับมรดกนี้คือ วิลเลี่ยม ดันบาร์ ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของ นายพล วิล ดันบาร์ วิลเลี่ยมเล็งเห็นว่า พื้นที่นั้นไม่น่าจะใช้ประโยชน์อะไรทางการค้าได้ จึงได้ประกาศให้พื้นที่นั้นเป็นที่สำหรับพักพิงของคนไร้บ้านในสมัยนั้น ในตอนนั้นผู้คนต่างรักใคร่ในตัวของวิลเลี่ยมมาก จนเขานั้นได้รับเลือกไปเป็นนายอำเภอของเมือง
Image loading...
Image loading...
แล้วหลังจากนั้นหนึ่งปี เขาก็ได้เริ่มโครงการเปลี่ยนพื้นที่ตรงนั้นให้เป็นที่พักพิงของคนไร้บ้าน เขาได้ลงไปสำรวจพื้นที่ แต่ปรากฏว่า พอเขาไปถึงมันมีอย่างอื่นมากกว่าคฤหาสน์และซากหมู่บ้านอย่างที่เขาได้รับข้อมูลมา มันมีโรงเรียนแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับทะเล และเขาก็เข้าไปสำรวจ ก็พบกับบันทึกในนั้นมากมายเกี่ยวกับโรงเรียนในช่วงที่เมืองนั้นยังรุ่นเรืองและรวมไปถึงตอนที่เจอกับสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งด้วย ค้นไปค้นมาก็มาก็พบว่า โรงเรียนแห่งนี้นั้นเป็นที่สอนเด็กๆ มาตั้งแต่ 1868 แล้วก็ถูกทิ้งไปในปี 1968 เพราะเด็กๆนั้นถูกย้ายให้ไปเรียนในเมือง โรงเรียนแห่งนี้เลยไม่ได้รับการดูแลอีกตั้งแต่ปลายปี 1968
ตามบันทึกที่วิลเลี่ยมได้เก็บมา พบว่า ผู้ก่อตั้งโรงเรียนคือ บาทหลวง นิโคสัน ดันบาร์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นบาทหลวงประจำการที่โบสถ์ใกล้ๆกับที่ตั้งโรงเรียน เห็นว่าเด็กๆในหมู่บ้านนั้นไม่มีที่เรียน บางคนก็ต้องลงทุนเดินทางไปที่ไกลๆ บาทหลวงท่านเลยรู้สึกเห็นใจ เลยได้ไปขอดำเนินเรื่องจัดตั้งโรงเรียนกับทางอำเภอ ในตอนแรกนั้น มีอุปสรรคที่ว่า ด้วยความที่ ที่เมืองนั้นเต็มไปด้วยคนที่พูดภาษาฝรั่งเศส แน่นอนว่าบาทหลวงก็เช่นกัน ทำให้ตอนที่ไปทำเรื่องนั้น ไม่มีใครในอำเภอฟังออกเลย จนกระทั่งมีชายปริศนาคนหนึ่งเดินเข้ามาช่วย โรงเรียนแห่งนี้เลยได้รับการอนุมัติให้ก่อตั้งได้ บาทหลวงตั้งใจที่จะตามหาตัวเขา แล้วก็ขอบคุณ แต่ว่าก็พาไม่พบ บาทหลวงเลยทำได้เพียงสวดภาวนาให้กับชายคนนนั้นทุกวัน
เมื่อโรงเรียนเริ่มก่อตั้งได้ไม่นาน เหล่าพ่อแม่ของเด็กๆก็มาฝากเด็กๆไว้กับบาทหลวง จากห้ากลายเป็นสิบ จากสิบกลายเป็นร้อยในเวลาไม่นาน และแน่นอนว่า บาทหลวงเป็นคนเดียวที่ดูแลเด็กๆเหล่านี้ ถึงแม้จะมีบาทหลวงท่านอื่นมาช่วยบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก เพราะบาทหลวงนิโคสันคือคนเดียวที่พอมีความรู้ต่างๆมากกว่าคนอื่นๆ แต่แล้ว ความโชคดีของบาทหลวงนิโคสันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ชายปริศนาคนเดิมนั้นก็ได้นำคุณครูจากในเมืองที่สามารถพูดภาษาฝรั่งเศสมาช่วยสอน รวมถึงการสอนภาษาอังกฤษให้กับคนในหมู่บ้านด้วย บาทหลวงรู้สึกขอบคุณมาก แต่ชายคนนั้นก็ทำเพียงแค่บอกว่าไม่เป็นไรเขาเต็มใจที่จะช่วย
และเวลาผ่านไปได้เกือบสิบห้าปี ชายปริศนาก็กลับมาพร้อมกับการบูรณะซ่อมแซม และต่อเติมโรงเรียนแห่งนั้น จนสามารถรับนักเรียนได้เพิ่มขึ้น คราวนี้บาทหลวงไม่ปล่อยให้ชายคนนั้นหนีอีก บาทหลวงได้ขอร้องเขาให้มาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้ แต่ชายคนนั้นก็บอกกับบาทหลวงนิโคสันว่า “ผมไม่เหมาะหรอก...ท่านบาทหลวงนั่นแหละ ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากกว่าผม..” และตั้งแต่นั้นมา บาทหลวงก็กลายเป็นครูใหญ่อย่างเป็นทางการ และคอยอบรมณ์ สั่งสอนให้เด็กๆทุกคนนั้นเป็นเด็กที่ดี มีคุณธรรมและความรู้ไปพร้อมๆกัน
และหลังจากนั้นไม่นานนัก บาทหลวงก็เสียจากโรคประจำตัว(ตามประสาคนมีอายุ) บันทึกของบาทหลวงไม่ได้ถูกเขียนต่ออีกตั้งแต่บาทหลวงนิโคสันเสีย วิลเลี่ยมเลยอยากรู้ว่ายังมีบันทึกที่อื่นอีกหรือเปล่า เลยกลับไปที่โรงเรียนแห่งนั้นอีกครั้ง และก็พบกับบันทึกสภาพเก่ากว่าของบาทหลวงเล็กน้อยอยู่ในห้องสมุด มันคือบันทึกอีกส่วนที่บาทหลวงนิโคสันเขียนไว้ วิลเลี่ยมได้นำกลับมา
เนื้อความด้านในกล่าวประมาณว่า หลังจากตั้งโรงเรียนไปได้สัก 10 ปี พวกคนจากอำเภอก็เริ่มเข้ามามีบทบาท ทั้งเรื่องระบบการเรียนการสอน เริ่มมีการยัดเยียดวัฒนธรรมและภาษาเข้ามามากขึ้น รวมถึงการที่มาดึงตัวเด็กๆในหมู่บ้านไปเรียนในเมืองอีกด้วย บาทหลวงรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่ท่านก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ เพราะเขาเป็นบาทหลวงที่ขึ้นตรงต่อศาสนจักร จะให้ทำอะไรพลีพลามก็ไม่ได้ บาทลวงเริ่มมีความวิตกกังวลจนไม่เป็นอันสอน และหลังจากนั้นบันทึกก็ขาดตอนไป นั่นทำให้วิลเลี่ยมที่เป็นนายอำเภออยู่เฉยไม่ได้ เขาสั่งให้สถานีนายอำเภอ ค้นแฟ้มการขอก่อตั้งโรงเรียนทุกโรงเรียนทันที เขาไล่ดูทีละโรงเรียนอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบกับแฟ้มของโรงเรียนของบาทหลวงนิโคสัน เขาเลยไปถามกับคนที่เก็บเอกสารว่าทำไมถึงไม่มี และแน่นอนว่าคำตอบที่ได้มาคือ เพราะว่าโรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้ต่อสัญญาการจัดตั้ง แฟ้มเลยคืนไปที่โรงเรียน วิลเลี่ยมเลยกลับไปที่โรงเรียนอีกครั้ง และค้นหาแฟ้มนั้น เขาให้คนในหน่วยมาช่วยหา แต่ก็ไม่เจอร่องรอยอะไร เขาอยากรู้มากกว่านี้ ว่าทำไมอำเภอถึงต้องมายุ่งวุ่นวายกับโรงเรียนเล็กๆแห่งนี้ด้วย
ตามบันทึกของคนสนิทวิลเลี่ยม ที่เจอในปัจจุบันกล่าวว่า วิลเลี่ยมนั้นค้นหาความเป็นมาของโรงเรียนแห่งนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับว่าเขาโดนมนตร์สะกดให้ค้นหาบางอย่างแบบไม่สิ้นสุด จนกระทั่งบางคนคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว เขาค้นหาอยู่เป็นปีๆ ในขณะที่โครงการของคนไร้บ้านก็ดำเนินไป
ตามบันทึกของวิลเลี่ยมเอง มีบทหนึ่งเขียนไว้ประมาณว่า "ผมจะไม่หยุดหาว่า อะไรที่ทำให้โรงเรียนแห่งนี้ถูกปิด มันต้องไม่ใช่เรื่องที่เด็กๆถูกพวกอำเภอเอาตัวไปเรียนในเมืองอย่างเดียวแน่นอน มันต้องมีบางอย่างน่า บางอย่างที่ตอนนี้ผมก็ไม่สามารถรู้ได้…" และหลังจากบทความนี้ไป ทางพิพิธภัณฑ์ของโรงเรียนที่เก็บรักษาก็ไม่ได้เปิดให้ดู แต่เขาลือกันว่า หลังจากนั้น วิลเลี่ยมก็ไปที่โรงเรียนแห่งนั้นตลอด บางวันไม่กลับมาทำงาน บางวันก็นอนมันที่โรงเรียนนั่นแหละ พอกลับไปก็เหมือนคนที่โดนดูดวิญญาณออกไปอย่างไงอย่างงั้นเลย